Thu, December 7, 2023

อัยการธนกฤต บอกทางออกลงความเห็นรัฐธรรมนูญวาระ3 พร้อมไขเงื่อนข้อบังคับลงมติมหาชน


‘อัยการธนกฤต’ผู้อำนวยการนิติวัชร์ ชี้ 3 ทางออกลงความเห็นรัฐธรรมนูญวาระสาม ไขเงื่อนตัวบทกฎหมายลงมติมหาชน ชี้ทำมติมหาชนทีแรกจำเป็นต้องภายหลังความเห็นชอบเห็นดีเห็นงามวาระ 3 ตามมายี่ห้อ 256 (8) กำหนดข้อแนะนำให้คณะรัฐมนตรี ทำมติมหาชนร่างรธน ตามมายี่ห้อ 166 ก่อนโหวตวาระสาม ทำไม่ได้ เนื่องจากร่าง รัฐธรรมนูญอยู่ในชั้นพิเคราะห์ของสภานิติบัญญัติแล้ว เป็นอำนาจขสภานิติบัญญัติรวมทั้งมีขั้นตอนการทำมติมหาชนกำหนดไว้เฉพาะ
ตอนวันที่ 15 มี.ค. ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล ผู้อำนวยการที่ทำการติดต่อประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้โพสต์เฟซบุ๊กมีความคิดเห็นตัวบทกฎหมาย การคลายปมลงมติมหาชนรัฐธรรมนูญแล้วก็ทางออกโหวตวาระ 3 มีความว่า
จากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำตัดสินช่วงวันที่ 11 มี.ค. 2564 ในหัวข้อการลงมติมหาชนที่เกี่ยวพันกับรัฐธรรมนูญนั้น ผมขอให้ความคิดเห็นโดยส่วนตัวทางด้านวิชาการในหัวข้อตัวบทกฎหมายในหัวข้อนี้ ดังต่อไปนี้
คลายปัญหาการลงมติมหาชนรัฐธรรมนูญ
ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ได้พูดถึงการลงมติมหาชนไว้เป็น 2 ขั้นตอน เป็น
1. แนวทางการลงมติมหาชนเพื่อถามความต้องการของพสกนิกรก่อนมีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า มีความมุ่งหมายจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือเปล่า
(นักเขียน : ซึ่งยังไม่ใช่ขั้นตอนของการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเพียงแค่ขั้นตอนของการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปรับปรุงเสริมเติม โดยการปรับแต่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในหมวด 15 กล่าวถึง การปรับแต่งเสริมเติมรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ประชุมร่างรัฐธรรมนูญจะไปปฏิบัติหน้าที่เป็นคนจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถัดไป
ในขั้นตอนนี้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เลยยังไม่เกิดขึ้น เป็นแต่เพียงขั้นตอนปรับแต่งรัฐธรรมนูญที่จะส่งผลให้เกิดการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงแค่นั้น)
2. กรรมวิธีการลงมติมหาชนภายหลังทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อประชากรลงมติมหาชนเห็นด้วยหรือเปล่าเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทำเสร็จแล้ว
ยิ่งกว่านั้น การพินิจพิเคราะห์ประเด็นการลงมติมหาชน จะตรึกตรองเพียงแต่เฉพาะจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างเดียวมิได้ จะต้องใคร่ครวญหลักเกณฑ์สำหรับการออกเสียงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญมี
การออกเสียงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560 สามารถทำเป็น 2 กรณี เป็น
1. การออกเสียงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) กรณีร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกเป็นการปรับปรุงแก้ไขเสริมเติมประเด็นต่างๆที่กำหนดไว้ อาทิเช่น หมวด 15 การปรับแก้เสริมเติมรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
หลังจากที่สภานิติบัญญัติได้ออกเสียงลงคะแนนหรือโหวตเห็นด้วยในวาระสามแล้ว ก่อนนำร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่มในเรื่องดังที่กล่าวผ่านมาแล้วขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย จำเป็นต้องจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนโดยชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงมติมหาชนก่อนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) โดยตามข้อกำหนดการสัมมนาสภานิติบัญญัติ พุทธศักราช 2563 ข้อ 135 (1) กำหนดให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงเสริมเติมไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชน
โดยเหตุนี้ ถ้าหากจะนำร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอีกในเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ไปให้ราษฎรลงมติมหาชน ก็จำต้องทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (8)เป็นจำเป็นต้องคอยให้สภานิติบัญญัติลงความเห็นเห็นดีเห็นงามในวาระสามซะก่อน
2. การออกเสียงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 กรณีคณะรัฐมนตรีขอให้มีการออกเสียงมติมหาชน โดยมีหลักเกณฑ์ว่า จะต้องเป็นการออกเสียงมติมหาชนในเรื่องที่ไม่ขัดหรือถกเถียงต่อรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใด
มีข้อคิดเห็นว่า การลงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 นี้ เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีสำหรับในการทำงาน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการลงมติมหาชนในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ที่กล่าวไป ซึ่งเป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติ
ถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญปรับแต่งเพิ่มอีก หมวด 15 กล่าวถึง การปรับแก้เสริมเติมรัฐธรรมนูญ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังอยู่ในขั้นตอนพินิจของสภานิติบัญญัติอยู่หมายถึงยังค้างไตร่ตรองอยู่ในสภานิติบัญญัติ ยังไม่เสร็จสิ้นการโหวตในวาระสาม การจะนำร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่มฉบับนี้ไปให้ประชากรลงมติมหาชนก็จำต้องผ่านหนทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8)หมายถึงจะต้องให้มีการโหวตเห็นด้วยในวาระสามโดยสภานิติบัญญัติซะก่อน
จะไปใช้วิถีทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 โดยให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอขอให้มีการออกเสียงมติมหาชน ก่อนจะมีการลงความเห็นโดยสภานิติบัญญัติในวาระสามมิได้ ด้วยเหตุว่าเป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติที่จะจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนรวมทั้งมีแนวทางการสำหรับเพื่อการลงมติมหาชนในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) เป็นการเฉพาะแล้วตามที่กล่าวไป
รวมทั้งบางทีก็อาจจะไปขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ซึ่งไม่สามารถที่จะทำได้ ดังที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ระบุหลักเกณฑ์ไว้ว่า การที่คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงมติมหาชนในเรื่องใด หัวข้อนั้นจะต้องไม่ขัดหรือโต้เถียงต่อรัฐธรรมนูญ
ทางออกของการโหวตร่างรัฐธรรมนูญวาระสามรวมทั้งการลงมติมหาชน
1. เลื่อนการโหวตร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงเพิ่มอีกในวาระสามในวันที่ 17 เดือนมีนาคม 2564 ออกไปก่อนกระทั่งจะมีคำตัดสินกึ่งกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่กระจ่างแจ้ง
ด้วยเหตุว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่มหาชนทราบจากเอกสารข่าวสารที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุวันที่ 11 มี.ค. 2564 บางทีก็อาจจะยังมีผลให้มีปัญหา ความไม่ชัดแจ้ง ไม่กระจ่าง และความหวาดหวั่นว่าจะกระทำความผิดกฎหมาย และก็บางทีอาจเอามาสู่การออกเสียงลงคะแนนมองไม่เห็นถูกใจ หรืองดเว้นออกเสียงตามมาได้
โดยพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับแนวทางพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2561 มาตรา 75 วรรคสาม กำหนดให้ประกาศคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในราชกิจจานุเบกษาด้านใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีคำตัดสิน
การรอคอยคำพิพากษากึ่งกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่แจ่มกระจ่าง แล้วข้างต่างๆที่เกี่ยวพัน ดังเช่นว่า พรรคฝ่ายรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และก็ สมาชิกวุฒิสภา มาสัมมนาปรึกษาหารือและขอคำแนะนำใคร่ครวญระบุทางด้วยกัน บางทีอาจเป็นแนวทางออกสำหรับเพื่อการแก้ปัญหาการโหวตในวาระสามแล้วก็การลงมติมหาชนที่ยังมีข้อขัดข้องแย้งกันมากมายก่ายกองได้
2. โหวตร่างรัฐธรรมนูญในวาระสามในวันที่ 17 เดือนมีนาคม 2564 รวมทั้งสภานิติบัญญัติลงความเห็นเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่มเติมอีก โดยมีปริมาณคะแนนเสียงเห็นด้วยด้วยตามหลักกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (6) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคะแนนเสียงเห็นด้วยด้วยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณสมาชิกทั้งสิ้นเท่าที่มีอยู่ของทั้งคู่ที่ประชุม แล้วก็มี สมาชิกวุฒิสภา เห็นดีเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณ สมาชิกวุฒิสภา ทั้งหมดทั้งปวงเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
ดังนี้ มีข้อคิดเห็นว่า ตามกฎข้อบังคับการสัมมนาสภานิติบัญญัติ พุทธศักราช 2563 ข้อ 132 กำหนดให้ การพินิจร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเพิ่มในวาระสาม ไม่มีการอภิปรายแล้วก็ให้ห้องประชุมสภานิติบัญญัติลงความเห็นว่าเห็นดีเห็นชอบไหมเห็นด้วยด้วยสำหรับการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญ นอกจากห้องประชุมสภานิติบัญญัติจะอนุมัติให้งดเว้นใช้ข้อกำหนดนี้
จากนั้นจะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่มเติมอีกที่สภานิติบัญญัติลงความเห็นเห็นด้วยไปจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ถัดไป รวมทั้งเพื่อไต่ถามความมุ่งมาดปรารถนาของประชากรว่า มีความจำนงจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือเปล่า จากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วิเคราะห์ไว้
เมื่อทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ก็จำต้องจัดให้พลเมืองลงมติมหาชนอีกรอบว่า เห็นดีเห็นงามกับร่างรัฐธรรมนูญที่ทำขึ้นใหม่ไหม จากที่ศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์ไว้
โดยวิธีการลงมติมหาชนภายหลังจากทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสมบูรณ์ กำหนดไว้อยู่ในร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงเพิ่ม หมวด 15/1 มาตรา 256/11 รวมทั้งมาตรา 256/12
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากว่าสภานิติบัญญัติลงความเห็นในวาระสามมีความคิดเห็นถูกใจร่างรัฐธรรมนูญฉบับปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกดังที่กล่าวมาข้างต้น จนถึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จแล้ว ร่าง มาตรา 256/11 ข้อบังคับให้พรีเซนเทชั่นต่อสภานิติบัญญัติพินิจเพื่ออภิปรายให้ความเห็น โดยไม่มีการโหวต
ภายหลังจากสภานิติบัญญัติอภิปรายให้ความคิดเห็นโดยไม่มีการลงความเห็นเสร็จแล้ว จะมีขั้นตอนการสำหรับการจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนของพสกนิกรว่า เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่ทำขึ้นใหม่หรือเปล่า ตามร่างมาตรา 256/12 ถัดไป
3. โหวตร่างรัฐธรรมนูญในวาระสามในวันที่ 17 เดือนมีนาคม 2564 และก็สภานิติบัญญัติโหวตงดเว้นออกเสียงและไม่เห็นดีเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญปรับแก้เพิ่ม ทำให้คะแนนเสียงเห็นด้วยไม่ครบปริมาณตามหลักกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (6) ซึ่งจะมีผลให้ร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเสริมเติมตกไปตามกฎข้อบังคับการสัมมนาสภานิติบัญญัติ พุทธศักราช 2563 ข้อ 135 (3)
ถ้าเกิดจะเสนอร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกในเรื่องเดียวกันนี้ต่อสภานิติบัญญัติอีก ก็จำเป็นต้องเริ่มขั้นตอนการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ใหม่ ตั้งแต่เสนอญัตติขอปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกรัฐธรรมนูญ
อนึ่ง มีบุคคลหลายฝ่ายเสนอทางออกให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ดำเนินงานขอให้มีการออกเสียงมติมหาชนร่างรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ก่อนการโหวตในวาระสาม ซึ่งไม่อาจจะปฏิบัติได้ เหตุเพราะการจะให้รัฐมนตรีมีอำนาจปฏิบัติการขอให้มีการออกเสียงมติมหาชนร่างรัฐธรรมนูญนี้ จะต้องเป็นการออกเสียงมติมหาชนที่ได้จัดการก่อนจะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอีกรัฐธรรมนูญในชั้นสภานิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256
แต่ว่าร่างรัฐธรรมนูญปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอีกฉบับนี้ได้มีการทำงานปรับแก้เสริมเติมรัฐธรรมนูญในชั้นสภานิติบัญญัติไปแล้ว จนกระทั่งสำเร็จวาระสองแล้วก็กำลังไปสู่การโหวตในวาระสามถัดไป และก็รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ระบุขั้นตอนจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติซึ่งเป็นอำนาจของสภานิติบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว ก็เลยไม่อยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปจัดให้มีการออกเสียงมติมหาชนได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *